สปสช. ติวเข้ม ‘คกก.ไตระดับเขต’ จัดเวิร์กช็อป พิจารณาเลือกบำบัด ‘ทดแทนไตอย่างเหมาะสมกับผู้ป่วย’

23 พฤษภาคม 2568

สปสช. ติวเข้ม ‘คกก.ไตระดับเขต’ จัดเวิร์กช็อป พิจารณาเลือกบำบัด ‘ทดแทนไตอย่างเหมาะสมกับผู้ป่วย’

สปสช. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการติวเข้ม คกก.ไตระดับเขต ขับเคลื่อนนโยบายดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เน้นให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด พร้อมตั้งเป้าลดสัดส่วนงบประมาณที่ใช้กับผู้ป่วยไตจาก 9% เหลือไม่เกิน 5% เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีความยั่งยืนในระยะยาว

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างความเข้มแข็งคณะกรรมการสนับสนุนผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติระดับเขต” โดยมีตัวแทนจากคณะกรรมการฯ ทั้ง 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ บุคลากรสาธารณสุข และเครือข่ายผู้ป่วยโรคไต โดย นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยและประธานเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และเจ้าหน้าที่ สปสช. เข้าร่วมประชุมฯ ครั้งนี้ ทั้งแบบ onsite และ online ระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ค. 2568 ณ โรงแรมเบสต์เวสเทิร์นพลัส แวนดา แกรนด์ จ.นนทบุรี วัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2568 “การพัฒนาระบบมาตรฐานและคุณภาพของนโยบายล้างไต ตามนโยบายการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก” ที่เน้นสภาวะเหมาะสมกับผู้ป่วย ในครั้งนี้ นายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ยังได้ร่วมบรรยายหัวข้อ “ระบบการจัดส่งน้ำยาล้างไตที่บ้านผู้ป่วยและโรงพยาบาล”

 

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเปิดการประชุมฯ ว่า หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ไม่เสียค่าใช้จ่าย กลุ่มเป้าหมายสำคัญคือผู้ป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูงมากๆ เช่น ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีค่าใช้จ่ายเดือนละเป็นหมื่นบาท โดยเป้าหมายการดูแลไม่ใช่เน้นการบำบัดทดแทนไตผ่านช่องท้อง แต่คือการปลูกถ่ายไตที่ทำได้ไม่มากเพราะผู้บริจาคอวัยวะมีน้อย ส่วนวิธีฟอกเลือดเหมาะกับคนที่อยู่ใกล้หน่วยบริการ เดินทางได้สะดวก โดยช่วงแรกในการดำเนินสิทธิประโยชน์นี้ เรามีงบประมาณ 800 ล้านบาท และพยายามไม่ให้ค่าใช้จ่ายโรคไตเกิน 5% ของงบในระบบทั้งหมด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ป่วยอื่นๆ และความยั่งยืนของระบบ ตอนนั้นมีผู้ป่วยฟอกเลือดประมาณ 6,000 คน ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องมีอยู่ 100 กว่าคน เราพัฒนาการมาจนมีผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50-60%

อย่างไรก็ดี ในเดือน ก.พ. 2565 มีการเปลี่ยนนโยบายโดยให้ผู้ป่วยเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตของตัวเองได้ ทำให้สัดส่วนผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องลดลงเหลือแค่ 20% ส่วนผู้ป่วยฟอกเลือดเพิ่มขึ้นมาก แต่ด้วยจำนวนบุคลากรที่ไม่ได้เพิ่มตาม ทำให้คุณภาพบริการฟอกเลือดลดลง ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยฟอกเลือดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สูงมากจนน่าตกใจ ขณะที่งบประมาณที่ใช้กับโรคไตก็เพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ปี 2567 ใช้งบประมาณไป 14,000-15,000 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของงบในระบบทั้งหมด ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณ 13,000 ล้านบาท แต่ครึ่งปีใช้ไปแล้ว 9,000 ล้าน ตัวเลขทั้งปีอาจสูงถึง 16,000-18,000 ล้านบาท หากเป็นแบบนี้ระยะยาวจะทำให้ระบบอยู่ไม่ได้ ผู้ป่วยทั้งหลายก็จะถูกกระทบ

“1 เม.ย. 2568 สปสช. เปลี่ยนนโยบายอีกครั้ง จุดสำคัญคือการมีส่วนร่วม ดึงทุกภาคส่วนทั้งหมอ พยาบาล ผู้ป่วย ผู้ประกอบการมาช่วยกัน มีคณะกรรมการไตเขตทำหน้าที่กลั่นกรองให้สิทธิดีที่สุดให้กับผู้ป่วย โดยมองระยะยาวทั้งส่วนของผู้ป่วยเองและของตัวระบบ และหากเป็นไปได้อยากให้ขยายเครือข่ายผู้ป่วยให้มาช่วยกันดูแลระบบ เรามั่นใจว่าเราจะสร้างระบบที่ดี และงบประมาณที่เกินไปถึง 9% จะให้พยายามคุมให้ไม่เกิน 5% ให้ได้ในอนาคตข้างหน้า” นพ.ประทีป กล่าว

ด้าน นพ.กมล โฆษิตรังสิกุล อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยล้างไตราว 1 แสนคน แบ่งเป็นฟอกเลือด 85,000 คน และล้างไตทางหน้าท้อง 17,000 คน ความชุก 1,550 ต่อประชากร ขณะที่งบดูแลผู้ป่วยไตทั้งประเทศเมื่อ 18 ปีที่แล้วอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท จนในปี 2558 เพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาท หากไม่ทำอะไรงบในการดูแลจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักมาจากโรคเบาหวาน 46% และความดันโลหิตสูงอีก 40% ดังนั้นผู้ป่วยหากเป็น 2 โรคนี้ มีโอกาสที่จะเป็นโรคไตสูงมาก และหากมีภาวะโปรตีนรั่วด้วย จะทำให้ไตเสียเร็วมาก

การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคไต เพื่อทำให้ผู้ป่วยรู้ตัวและปรับพฤติกรรม ควบคุมเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปรับการใช้ชีวิต ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้ดีกว่าไม่ได้รับการวินิจฉัย อย่างไรก็ดีประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคได้เพียง 11% และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้เพียง 16% หากไม่ทำอะไร ผู้ป่วยโรคไตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นต้องเน้นป้องกัน ซึ่งผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีอุปกรณ์ตรวจค่าความดันโลหิตเป็นของตัวเองทุกคน ปัจจุบันมีราคาตั้งแต่ 200 – 2,000 บาท เพื่อติดตามค่าความดันโลหิตเองทุกวัน ซึ่งความดันปกติอยู่ที่ 80-120 หากสูงถึง 90-140 ก็ถือว่ามีความเสี่ยง ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือดปีละ 2 ครั้ง โดยทั่วไปค่าน้ำตาลขณะอดอาหารตอนเช้าไม่ควรเกิน 100 มก. ค่าน้ำตาลหลังอาหารไม่ควรเกิน 140 มก. และค่าน้ำตาลสะสมต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะดีกว่าหากมีเครื่องตรวจค่าน้ำตาลเป็นของตัวเอง ถ้าค่าน้ำตาลสูงก็จะได้ลดทางอาหารที่มีน้ำตาลสูงได้

อย่างไรก็ดี เมื่อต้องบำบัดทดแทนไต สิ่งสำคัญคือการวางแผนการบำบัดทดแทนไตไว้ล่วงหน้า ให้ความรู้ผู้ป่วยถึงข้อดีข้อด้อยของการบำบัดทดแทนไตวิธีต่างๆ ตัดสินใจร่วมกับหมอว่าวิธีใดเหมาะกับตัวเองมากที่สุด เช่น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีการจัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาการบำบัดทดแทนไต เพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต ให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จากผู้ที่บำบัดทดแทนไตอยู่แล้ว เพื่อทำให้ผู้ป่วยตระหนักรู้และปรับพฤติกรรมชะลอไตเสื่อม และมีการวางแผนตัดสินใจเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตของตัวเอง นอกจากนี้การมีคณะกรรมการสนับสนุนผู้ป่วยไตวายเรื้อรังฯ ระดับเขต ที่มีผู้แทนเครือข่ายโรคไตร่วมเป็นกรรมการที่ช่วยเป็นเสียงของผู้ป่วย ซึ่งได้ร่วมประชุมในครั้งนี้ จะได้มีส่วนร่วมตัดสินใจเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และสื่อสารไปยังผู้ป่วยต่อไป   

“วิธีปลูกถ่ายไตทำให้มีอายุยืนที่สุด ส่วนฟอกเลือดและล้างไตทางหน้าท้องอัตราการเสียชีวิตไม่ต่างกัน คือใน 4 ปีแรกอยู่ที่ 80% เป็นอัตรารอดชีวิตดีกว่ามะเร็งบางชนิด แต่โดยรวมแล้วกว่าครึ่งของค่ารักษาพยาบาล เราใช้ไปกับสิ่งที่ป้องกันได้ แค่คุมเบาหวาน ความดันโลหิต และไขมันในเลือด ลดการกินน้ำตาลและอาหารเค็ม ให้ความร่วมมือกับหมอในการดูแลตัวเอง ก็ป้องกันโรคที่ต้องใช้เงินปีละหลายหมื่นล้านบาทได้” นพ.กมล กล่าว

ด้าน นางสุวรรณี ศรีปราชญ์ ผู้อำนวยการกลุ่ม สปสช.เขต 4 สระบุรี กล่าวว่า นโยบายใหม่ สปสช. เกี่ยวกับโรคไต จะคล้ายก่อนปี 2565 คือการล้างไตผ่านช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) บวกกับการดูแลที่ต้องเหมาะสมกับสภาวะผู้ป่วย เน้นให้ข้อมูลครบทุกด้านเพื่อตัดสินใจ ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่รวมทั้งผู้ป่วยที่เปลี่ยนโหมดการบำบัดทดแทนไตทุกรายต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติวิธีการบำบัดทดแทนไตจากคณะกรรมการไตเขตที่นี่ ประกอบจากตัวแทนภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 8 คน ซึ่งจะรับข้อมูลจากหน่วยบริการแล้วพิจารณา ทั้งในด้านคลินิก เหตุผลทางสังคม จุดมุ่งหมายชีวิตที่เหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับวิธีการบำบัดทดแทนไตที่ดีและเหมาะสมที่สุด

ส่วนด้านคุณภาพและมาตรฐานหน่วยบริการนั้น ปี 2566 สปสช. ได้นำระบบคุณภาพมากำกับควบคุมมากขึ้น โดยการล้างไตทางช่องท้องได้กำหนดตัวชี้วัดการติดเชื้อของผู้ป่วยที่มีผลกับการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการ ส่วนบริการฟอกเลือดภายใน 2 ปีนี้ มีการนำตัวชี้วัด 5 Star Rating มาให้เรตติ้งหน่วยบริการที่จะมีผลต่อการจ่ายเงินเช่นกัน

“ถ้างบประมาณสำหรับผู้ป่วยล้างไตสูงเกิน 10% ระบบหลักประกันสุขภาพก็จะล้มได้ เพราะผู้ป่วยแสนคนแต่ใช้เงินรักษาถึง 10% ของงบทั้งหมด ซึ่งในระบบมีงบประมาณแสนล้าน แต่ใช้กับการล้างไตปีละ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเยอะมาก ดังนั้นทำอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดและเหมาะกับผู้ป่วย นี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกัน” ผู้อำนวยการกลุ่ม สปสช.เขต 4 สระบุรี กล่าว

เว็บไซต์สมาคมเพื่อนโรคไตฯ: https://www.kfat.or.th/สอบถามข้อมูล โทร 02-2483735 ต่อ 124
facebook : เพจ สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูล : the coverage
ที่มา : the coverage
v
v
v
ด้วยความปรารถนาดีจากสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย
ขอคำปรึกษาได้ที่นี่ !